:: ผู้อำนวยการโรงเรียน ::
นายชัชชัย พุทธสุวรรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์
Graphical counter from SEP 2550
Oh no! Where's the
JavaScript ?
Your Web browser does not have JavaScript enabled or does not support JavaScript. Please
enable JavaScript on your Web browser to properly view this Web site,
or
upgrade to a Web browser that does support JavaScript;
Firefox ,
Safari ,
Opera ,
Chrome or a version of
Internet Explorer newer then version 6.
ศธ.ผ่านยุค'แตกหัก' รอการฟื้นฟูกู้ศักดิ์ศรี!!
คุณภาพการศึกษา : คุณภาพประชาชน คือกำลังพลที่รอการพัฒนา การศึกษาสร้างคน คนสร้างชาติ เป็นภารกิจหลักของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นความมุ่งหมายของการจัดการศึกษาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2545 ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และประการสำคัญ คือ การจัดการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน ที่เปิดโอกาสและให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาอย่างทั่วถึงและเสมอภาค โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งรัฐจัดให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
จากหลักการสำคัญและแนวนโยบายดังกล่าว ในยุคปฏิรูปการศึกษา (2542-2550) กระทรวงศึกษาธิการได้ขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติเป็นระยะเวลากว่า 9 ปี ซึ่งมีทั้งผลดีและปัญหาอุปสรรคมากมาย กลายเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกฝ่ายเร่งรัดแก้ปัญหา มีการปรับเปลี่ยนแนวนโยบายที่สุดในรอบ 10 ปี และมีการปรับปรุงโครงสร้างบริหารงานกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดำเนินการ แต่ภารกิจการจัดการศึกษาของชาติยังมีปัญหาหลากหลาย ทั้งระบบบริหารจัดการ ด้านบุคลากร และยังรอการแก้ไขพัฒนาอย่างจริงจังเร่งด่วนในรัฐบาลชุดใหม่นี้
เป้าหมายสำคัญคือ นักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประเทศกว่า 13 ล้านคน กระจายอยู่ในสถานศึกษาทุกภูมิภาคกว่า 32,340 แห่ง และในรอบปีการศึกษา 2550 ที่ผ่านมา การประเมินผลคุณภาพการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า 1.มีโรงเรียนที่มีผลการประเมินต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 481 โรงเรียน 2.มีโรงเรียนที่มีผลการประเมินตามเกณฑ์มาตรฐาน ระดับพอใช้ จำนวน 16,952 โรงเรียน และ 3.มีโรงเรียนที่มีผลการประเมินตามเกณฑ์มาตรฐาน ระดับดี จำนวน 9,151 โรงเรียน และส่วนที่เหลือมีการดำเนินการการประเมินตามลำดับต่อไป
จากการขับเคลื่อนนโยบายการจัดการศึกษาในทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งการปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูประบบบริหารจัดการ ปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ และสารพัดวิธีการที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย แต่ยังมีปัจจัยและปัญหาอุปสรรคมากมาย ส่งผลให้การจัดการศึกษาของประเทศไทยก้าวหน้า และที่สำคัญการใช้นโยบายด้านการศึกษาไม่ได้มาจากผู้ปฏิบัติ เป็นเหตุให้การดำเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการไม่ประสบผลสำเร็จและไม่ต่อเนื่อง เช่น
การรวมศูนย์อำนาจในส่วนกลาง โดยการยุบรวมหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ 14 กรม ทบวงมหาวิทยาลัย และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ให้มีหน่วยงานหลัก 5 องค์กร และในส่วนภูมิภาค โดยยุบสำนักงาน หน่วยงานทางการศึกษาระดับอำเภอ ระดับจังหวัด รวมเป็นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ 175 เขต
ในการปรับปรุงโครงสร้างดังกล่าว ไม่ส่งผลดีต่อระบบการจัดการศึกษาแม้แต่น้อย กลับสร้างภาระปัญหาให้กับผู้บริหารหน่วยงาน บุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานต่างๆ โดยเฉพาะการยุบรวมหน่วยงานสถานศึกษาระดับประถมศึกษากับมัธยมศึกษา เพิ่มภาระปัญหาให้กับครู ผู้ปกครองอย่างมาก
ในส่วนของบุคลากรครูก็ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ เหมือนน้ำกับน้ำมัน ไม่มีวันที่จะเข้ากันได้ ผลร้ายตกแก่เด็กนักเรียนตาดำๆ ผลกระทบอีกประการหนึ่งคือ ความเดือดร้อนของครู ผู้ปกครอง ที่เคยติดต่อประสานงานกับอำเภอมายาวนาน พอปรับเป็นเขตพื้นที่ต้องติดต่อประสานงานหลายจุด บางเรื่องไม่จบที่เขตพื้นที่ ต้องให้อำเภอรับรอง หรือมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบเรื่องต่างๆ และที่สำคัญก่อนมีการปรับโครงสร้างเป็นเขตพื้นที่ สถานศึกษาครู ผู้ปกครองมีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย เพราะระยะทางไม่เกิน 50 กิโลเมตร แต่ในสภาพปัจจุบันสถานศึกษามีความห่างไกลออกไปถึง 40-120 กิโลเมตร
ในส่วนของบุคลากร มีการแบ่งชนชั้นชัดเจน แยกครูประถม ครูมัธยม ศึกษานิเทศก์ และมีบุคลากรชั้นสอง (ข้าราชการพลเรือนเดิม) ในกลุ่มของบุคลากรเหล่านี้ ถึงแม้จะสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ หรือสำนักเดียวกัน แต่ศักดิ์ศรีต่างกัน ความก้าวหน้าต่างกัน มีการเลือกปฏิบัติในการประเมินความก้าวหน้า ไม่เสมอภาคเหมือน พ.ร.บ.กำหนดไว้ หลายคนขาดโอกาสก้าวหน้าเพราะปัญหาจากการยุบรวมหน่วยงาน เป็นภาระสำคัญที่กระทรวงศึกษาธิการต้องแก้ไขเป็นการด่วน ควรจะมีการตั้งสำนักงานเขตพื้นที่ครบทุกอำเภอ เพราะอำเภอคือศูนย์ราชการที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด โดยใช้สำนักงานทางการศึกษาที่มีอยู่ ไม่เพิ่มภาระทั้งด้านบุคลากร และด้านงบประมาณ ซึ่งจะส่งผลดีและสามารถอำนวยความสะดวกให้กับสถานศึกษาและประชาชนในเขตบริการได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
ด้านคุณภาพการศึกษา สถานศึกษาเสียโอกาส ขาดแคลนบุคลากร ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐไม่สามารถสนองความต้องการท้องถิ่นได้ เพราะขาดอัตรากำลังครูสอน ครูสอนไม่ครบชั้น ไม่ครบสาระวิชาเอก การใช้ครูอัตราจ้างแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง ไม่ยั่งยืน และนโยบายด้านการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ในระดับนโยบาย มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยที่สุด ส่วนหนึ่งไม่ได้มาจากนักการศึกษา หรือผู้รับผิดชอบโดยตรง แนวทางแก้ไขควรจัดทีมการศึกษาทุกระดับเข้าไปมีส่วนร่วม และรับฟังปัญหาให้ครบถ้วน จึงขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติที่ชัดเจน ไม่มุ่งหาผลประโยชน์จากการจัดการศึกษา ส่วนปัญหาเร่งด่วน คือ การจัดสรรอัตรากำลังครู หรือคืนอัตราครูที่เกษียณให้กับสถานศึกษาที่ขาดแคลนเป็นการด่วน
นายนพรัตน์ ทองแสง นายกสมาคมผู้บริหารประถมศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี ในฐานะคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา เขต 4) กล่าวว่า สืบเนื่องจากการปฏิรูประบบราชการของกระทรวงศึกษาธิการตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา ส่งผลกระทบและมีปัญหาหลายประการ ทั้งผู้บริหารในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 175 แห่ง และผู้บริหารโรงเรียน เพราะการยุบรวมหน่วยงานระดับอำเภอเป็นเขตพื้นที่ เป็นการรวมศูนย์อำนาจแบบใหม่ กระทบต่อการบริหารจัดการ ทั้งด้านวิชาการ ด้านบริหารงานบุคคล และการอำนวยความสะดวก โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งปัจจุบันทั่วประเทศมีกว่า 12,000 แห่ง รอการแก้ปัญหาและพัฒนาให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
สำหรับแนวทางแก้ปัญหา โดยมีเขตพื้นที่เป็นหน่วยบริการ และสนับสนุนส่งเสริมการจัดการศึกษาทุกระดับในท้องถิ่น ควรปรับปรุงและจัดตั้งสำนักงานเขตพื้นที่ให้ครบทุกอำเภอ โดยแต่งตั้งรองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาจาก 178 เขต ซึ่งปัจจุบันมีรองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประจำอยู่เขตละ 11 คน แทบจะไม่มีงานทำ สูญเสียอัตรากำลังภาครัฐ และเงินภาษีของประชาชนปีละหลายร้อยล้านบาท และเป็นการกระจายอำนาจให้บุคลากรที่มีอยู่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ
นายดำรง พวงอินทร์ เลขาธิการสมาคมครูภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า อยากขอฝากการบ้านให้รัฐบาลชุดใหม่ และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ใส่ใจดูแลการศึกษาแบบทั่วถึงและเสมอภาคจริงๆ ระเบียบกฎหมายต่างๆ ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจะต้องปรับปรุงแก้ไข โรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ในเมือง หรือชนบท จะต้องได้รับเงินอุดหนุนที่เป็นธรรม และควรย้ายผู้บริหารโรงเรียนทุก 2 ปี หรือ 3 ปี สถานศึกษาบางแห่ง มีผู้บริหารอยู่นานเกิน 5 ปี 10 ปี เป็นการสร้างบารมีและอิทธิพลในตำแหน่งหน้าที่ เช่น มอบหมายงานให้ครูผู้สอนทำหน้าที่อื่น กระทบต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน มีผู้บริหารจำนวนมากมุ่งทำผลงานเพื่อขอเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น มากกว่าการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ จะเห็นได้ว่าผู้บริหารและครูมีวิทยฐานะดีขึ้น แต่คุณภาพนักเรียนลดลง และปัญหาต้องรีบแก้ไขอีกมากมาย
สุดท้าย กระบวนการจัดการศึกษาในอนาคต ประชาชนมีความคาดหวังว่าหน่วยงานทางการศึกษา ผู้รับผิดชอบทุกฝ่าย จะได้ช่วยกันขับเคลื่อนการศึกษาของชาติ พัฒนาเยาวชนพลเมืองไทยให้คุณภาพชีวิตที่ดีแบบยั่งยืน โดยมีสถานศึกษา ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา และระบบการบริหารจัดการที่ดีนำไป พัฒนาให้มีความเจริญก้าวหน้าตามลำดับต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11019,หน้า 7
No Comments have been Posted.
Please Login to Post a Comment.
<< February 2025 >>
Mo
Tu
We
Th
Fr
Sa
Su
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
No events.
แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก(EIT2)